ประวัติศาสตร์ยุคกลาง

จากไร้สาระนุกรม — ส่วนหนึ่งของโครงการไร้สาระนุกรมเสรี แหล่งรวบรวมเรื่องราวตลกขบขันและบิดเบือนข้อเท็จจริง
ไปยังการนำทาง ไปยังการค้นหา
บทความมีสาระดีเยี่ยม
Wikisplode.gif
สำหรับผู้ที่ไร้อารมณ์ขันสิ้นดี เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่วิกิพีเดียมีบทความที่โคตรมีสาระ ที่นี่!

ประวัติศาสตร์ยุคกลาง ก็คือประวัติศาสตร์ของทวีปยูหลบยุคกลางนั่นแหละ

หมายเห็ด : กรุณาเปิดเพลง Old Music 3 Michael praetorius (Branle de la Torche) หรือ Old music 2 (Saltarello) เพื่อให้ได้รับอารมณ์ยุคกลางมากที่สุด

จุดเริ่มยุคกลาง[แก้ไข]

3 ชนชั้นหลักในสังคมยุคกลาง: พระ (บาทหลวง), นักรบ (อัศวิน), แรงงาน (คนธรรมดาสามัญ)

ตามหลักสเกลวัดช่วงเวลาแล้ว ก่อนยุคกลางก็คือยุคก่อนสมัยที่อาณาจักรปอบหยิบโบราณกับอาณาจักรโรมังงะได้ล่มสลายลง (ในด้านความเป็นเจ้าโลกยุคก่อน) คือเริ่มเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 5 จนถึงต้นศตวรรษที่ 16

เมื่อหมามหาอำนาจใหญ่ๆ ล้มหายไปหมด จึงได้เข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่ทุกคนต้องถีบตัวเอง (และคนอื่นหลาย ๆ คน) เพื่อให้ได้เป็น มหาอำนาจใหม่ ในยุคใหม่

ยุคนี้มีผู้เล่น (ประเทศ) หลายๆ ตำแหน่งที่ต้องการผันตัวเองเป็นผู้นำโลกใหม่ บางรายก็เป็นผู้นำโลกเ่ก่าเดิมที่เปลี่ยนระบบ ระบอบใหม่ บางรายก็เป็นพวกซุ่มเงียบ (นักวิชากวนบางคนคาดว่าเป็นจักรวรรดิยูริ) แต่ไม่ว่าอย่างไร ผู้ที่จะเป็นผู้นำโลกใหม่ได้นั้น ต้องมีทรัพย์สินเงินทอง ที่มากพอควร บวกกับอำนาจต่าง ๆ ในมือ (อำนาจทางการเมือง การทหาร การค้า ศาสนา สังคม และเทคโนโลยี)

บางรายแม้มีอำนาจในมือ แต่ก็อาจเพียงชั่วคราวตามกาลเวลาผันเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม กว่าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำโลกยุคใหม่ (ยุคกลางนั้น) กลับใช้เวลาเป็นร้อย ๆ ปี เนื่องด้วยปัญหาใหญ่ ๆ ดังที่จะกล่าวต่อไป


ยุคมืด[แก้ไข]

ผู้คนต้องทำงานในที่ดินที่โดนคนรวยกว่าฮุบเป็นเจ้าของ เราเรียกพวกเขาเหล่านี้ว่า "เกรียนทาสติดที่ดิน"

ยุคแรก ๆ ในช่วงยุคกลาง นักประวัติศาสตร์เรียกกันว่ายุคมืด เป็นยุคเริ่มต้นของยุคกลาง เป็นยุคที่พวกคนในสมัยนั้นเพิ่งกำลังจะเริ่มปรับตัวจากอาการไร้ผู้นำ และเกิดอาการสมองอุดตันกันแทบทุกคน เพราะมีความรู้ความสามารถ แต่ดันคิดไม่เป็น ไม่รู้จักนำมาใช้ ทำให้เกิดอาการบ้านเมืองไ่ม่พัฒนา ผู้คนอยู่กันแบบพื้น ๆ หากินไปวัน ๆ ปากกับตีนถีบ เปรียบดั่งเทียนไขแท่งใหญ่แต่จุดไฟไม่ติด ทำให้มืดมิดไร้แสงสว่างส่องทาง (น่าแปลกใจที่อาการนี้เหมือนระบบการศึกษาของประเทศเทย ที่คนมีความรู้แต่ไม่รู้จะเอาไปใช้กับอะไร)

ยกตัวอย่างเรื่องที่ง่าย ๆ แต่ดันคิดไม่ออก คือ คนสมัยนั้นไม่ดูแลสุขลักษณะ อาบน้ำไม่เป็น และไม่ชอบอาบน้ำ รวมทั้งเอาอุจจาระมาปาใส่กัน หรือเทลงกลางถนน หรือเทจากชั้นบนลงใส่หัวคนข้างล่าง (แรก ๆ ยังมีการเตือนคนข้างล่าง แต่หลัง ๆ ชักสันดานเสีย เทใส่หัวคนที่เดินผ่านมาซะเลย) (โชคร้ายที่สมัยนั้นยังไม่มีคำว่าเกรียน คนเลยไม่รู้จะด่าว่าอะไร) ทำให้เกิดโรคอุบาทว์ (หรือที่คนสมัยนั้นเรียกว่า โรคอุบาทว์ทมิฬ) ผู้คนล้มหายตายห่าไปส่วนใหญ่ (ว่ากันว่า 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด) ทั้ง ๆ ที่มีเทคโนโลยีอ่างอาบน้ำและชายหาดเศษฝรั่งที่พร้อมรองรับผู้คน

อีกเรื่องที่น่าหวาดหวั่นคือโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก แถมไม่ได้แค่มาจี้ ไถเงิน พี่แกกะจะฆ่ากันเลยทีเดียว มีโจรบางคนถึงกับใช้ข้อมูลปกปิดธนูยิงผู้โชคร้ายเพื่อปลํ้าปล้นทรัพย์เลยด้วยซ้ำ แม้คนคนนั้นจะมีเงินติดตัวเพียงไม่กี่อัฐ (ออกแนวรีดเลือดกับปู) จะผู้หญิง หรือคนชรา ก็ไม่สน โบสถ์ก็ยังงัดเข้าไปปล้นได้อย่างไม่เกรงกลัวบร๊ะเจ้า ทำให้เป็นยุคที่ป่าเถื่อนอย่างแรง

ถึงแม้หากจะเป็นผู้โชคดีที่ไม่ได้เจอโจรผู้ร้ายชุกชุม ท่านผู้นำของพื้นที่นั้นก็มักจะเรียกเก็บภาษีกันแบบขูดเลือดขูดเนื้อ (ภาษีบุคคลที่ 40 % ไม่รวมค่าบำรุงศาสนา (ที่โดนบังคับจ่าย) และอื่น ๆ)

ยุคเริ่มสว่าง[แก้ไข]

เจ้าที่ดินรับสมัครอัศวิน (ลูกกะจ๊อก) คนใหม่ เพื่อเกณฑ์ไปเข้าร่วมกองทัพแดง

แน่นอนว่าผู้คนที่เหลือรอดจากโรคอุบาทว์บางคนเริ่มสมองทะลุแล้ว (ตรงข้ามกับสมองอุดตัน) (บางคนก็ทะลุเพราะคิดได้ แต่บางคนก็เพราะโดนอะไร อย่างไม้ หรือข้อมูลปกปิดเสียบ) เริ่มคิดได้ว่าพวกเขามีเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตพวกเขาได้อยู่แล้ว จึงเริ่มนำเทคโนโลยีจากยุคก่อนมาปรับใช้ เพื่อให้อยู่รอดอย่างมีความสุขได้

พวกเขาเริ่มด้วยการทำท่อส่งน้ำสะอาดเข้าเมืองและท่อน้ำเสียระบายลงสู่ทะเลซึ่งห่างจากตัวเมือง (มีใช้มาแต่ยุคโรมังงะ แต่ระบบนี้จะใช้ไม่ได้อีกในช่วงต้นของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม)

แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีคนที่สมองทะลุยิ่งกว่า ทำตัวเป็นพวกฉวยโอกาส รวบที่ดินไว้ในอำนาจของตน (ทั้งโดยชอบธรรมและด้วยมีดดาบ) แล้วให้พวกชาวบ้านที่อาศัยทำกินนั้นเป็นเกรียนทาสติดดิน (ต้นกำเนิดของชาวรากหญ้า) และถือตนเองเป็นผู้ครองดินแดน

เมื่อสูบผลประโยชน์จากชาวรากหญ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มร่ำรวย มีอำนาจ หรือแม้่แต่กองกำลัง จึงเริ่มเกิดเป็นตระกูลใหญ่ ๆ โต ๆ และต่อสู้แย่งชิงกับผู้ครองแดนคนอื่น จนในที่สุดก็ผลักถีบตัวเองเป็นท่านผู้นำ โดยมีผู้ครองแดนคนอื่นเป็นขุนนางหรืออัศวินรับใช้ แล้วใช้อำนาจอ้างความชอบธรรมว่าตนได้รับอำนาจจากพระเจ้าให้มาปกครอง

กระนั้นก็ตาม พวกใหญ่ ๆ โต ๆ ก็ยังยึดถือประวัติศาสตร์ของพวกเขา โดยเรียกชื่อนำหน้าพวกยศเล็ก ๆ ว่า ไอ-เซอร์ (I-Sir) เพื่อเตือนตนเองและพวกเขาให้ฉลาดขึ้นเร็ว ๆ

ยุคศักดินา[แก้ไข]

สิ่งที่จะพบได้ทั่วไปในวิถีชีวิตยุคกลางก็คือ การรบระหว่างอัศวินกับกังหันลมโรงสีข้าว

ยุคนี้เป็นยุคที่ระดับชั้นสังคมที่นำมาจากยุคเริ่มสว่าง เป็นสิ่งที่ยอมรับกันในสังคม (หรือถูกบังคับให้ยอมรับ ทั้งโดยดี และโดยมีดจ่อคอหอย)

ประเทศต่าง ๆ เริ่มมีอำนาจมั่งคงในระดับหนึ่งแล้ว แต่ด้วยความหื่นกระหาย อันไม่สิ้นสุด ท่านผู้นำหลาย ๆ คนจึ่งเริ่มขยายดินแดน และอำนาจของตนไปเรื่อย ๆ จนเริ่มมีเรื่องกับท่านผู้นำคนอื่น ๆ ทำให้เกิดสงครามกัน สงครามหลาย ๆ ครั้งในยุคนี้แหละที่จะเรียกกันว่าสงครามยุคกลาง

ระบบศักดินานั้น มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำสงครามครูเสด โดยพวกทาสติดดิน (serf) จะเป็นผู้ทำงานงก ๆ หาข้าวสารกรอกหม้อไปวัน ๆ ส่วนผลผลิตที่ได้และเกินดุล จะถูก (ริบ) เปลี่ยนแปลงเป็นทรัพยากรสำหรับสงครามจำพวกเงินตรา ทอง ยุทโธปกรณ์ หรือเสบียงอาหาร

สำหรับผู้ครองแผ่นดิน (landlord) จะดูแลจัดสรรการใช้งานพื้นที่ โดยมีลูกน้องเป็นอัศวิน (Knight) คอยรับใช้ในงานศึกสงคราม (ส่วนพวกที่ไม่ได้เป็นอัศวิน ก็เป็นพวกลิ่วล้อ รับใช้ทำงานสกปรกอย่างก่อวินาศกรรม วางยาพิษ วางเพลิง หรือเป็นนักเลงรุมซ้อมตระกูลอื่นที่เป็นศัตรู หรือกำจัดผู้ขวางทาง)

ผู้ครองแดนบางรายที่ฐานะดี มีชื่อเสียง หรือเคยช่วยงานท่านผู้นำเป็นการพิเศษ จะได้รับการแต่งตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ ซึ่งจะได้อภิสิทธิ์ ต่าง ๆ ตามแต่ระดับฐานะ

พวกทาสติดที่ดินบางกลุ่มก็มีบ้างที่จะคิดกบฎ หากท่านผู้นำรีดภาษีสูงหรือสร้างความเกลียดชังแก่พวกเขา จึงได้ให้สิทธิผู้ครองแดนและอัศวินใช้กำลังเข้าปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดได้ แต่เอาจริง ๆ ผู้ครองแดนมักจะช่วยเหลือ ประนีประนอม และขอต่อรองกับท่านผู้นำ โดยใช้ฐานันดรศักดิ์ เพราะการทอดทิ้งแรงงานทาสติดดินไปเท่ากับทุบหม้อข้าวตัวเอง (เพราะเป็นยุคไม่มีการใช้เครื่องจักรกล ทำให้ต้องพึ่งแรงงานล้วน ๆ ส่วนทาสติดดินมีโอกาสที่จะหนีไปหาผู้ครองแดนอื่น หรือหากินเองเป็น) ส่วนแรงงานฝีมือยุคนั้น เรียกได้ว่าหาตัวจับยาก อีกทั้งยุคนั้นไม่มีโรงเรียนหรือการศึกษาที่เป็นระบบ

แรงงานที่มีฝีมือมักจะได้รับการชุบเลี้ยงจากผู้ครองแดน ซึ่งแรงงานนั้นรวมทั้งช่างตีเหล็ก ช่างไม้ นักตัดเย็บเสื้อผ้า นักศิลปะ นักวิชาการ และอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการร่ำเรียนวิชาชีพ สามารถไปเรียนกับช่างชั้นครู (Master) ได้ โดยต้องไปเป็นช่างฝึกหัด (Apprentice) เป็นเวลา 40,000 ปี (โดยไม่ได้รับค่าจ้าง) จึงจะได้เป็นช่างอาชีพ (Journeyman - สามารถเริ่มรับค่าจ้างได้แล้ว)

ช่างอาชีพสามารถเลื่อนขั้นเป็นช่างชั้นครู (Master) ได้ ด้วยการทำผลงานที่ดีที่สุดของตนส่งให้สมาคมอาชีพ (Guild) ของตน พิจารณาเลื่อนชั้น (เห็นไหมหละว่ามันยุ่งยากและใช้เวลานาน กว่าจะได้เป็นแรงงานอาชีพ)

ช่วงท้ายยุคกลางไป (ช่วงปฏิวัติทางการเมืองและสังคม) ชนชั้นล่างจึงสามารถรวมตัวกันโค่นล้มพวกชนชั้นสูงได้อย่างง่ายดาย เพราะอุดมการณ์ทางการเมือง(ยุคนั้นเป็นยุคที่เริ่มความคิดที่ว่า ท่านผู้นำไม่ใช่ INW แต่เป็น นู้บ) ความอดอยาก (ในขณะที่พวกชนชั้นสูงได้กินดื่มอย่างเป็นสุข) แรงผลักดันบีบคั้นจากชนชั้นสูง (ภาษีที่รีดเค้นอย่างหนัก) และอาวุธดินปืน ดั่งกรณีตัวอย่างจากการปฏิวัติฝรั่งเศส] ที่ชนชั้นล่างลากคอชนชั้นสูงและท่านผู้นำของตนมาประหารด้วยเครื่องตอนกิโยติน โดยใช้ความชอบธรรมที่ว่าพวกชนชั้นสูงกดขี่พวกเขามากเกินไปแล้ว

สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยๆในยุคกลาง[แก้ไข]

ศาสนจักร[แก้ไข]

หนึ่งในบรรดาหัวหน้าใหญ่ๆ ของศาสนจักรในสงครามครูเสด

ยุคนั้นศาสนาและลัทธิมีบทบาทและอำนาจอย่างมากในสังคม (ก็ยุคนั้นไม่มีอะไร นอกจากบ้าน งาน และศาสนานิ ยังไม่มีโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ และ อินเตอร์เน็ต) ใครที่ถูกจับได้ (หรือถูกใส่ร้าย) ว่าเป็นพวกนอกศาสนา/ลัทธิ มักจะถูกผู้มีอำนาจลงโทษอยู่หลาย ๆ วิธี

เช่น การใช้เครื่องยืดเส้นยืดสายอย่าง The Rack (หรืออีกชนิดที่คุณอัล เรียกอย่างซาดิสม์ว่า ห้าม้าแยกร่าง) หรือการใช้ลูกแพร์ขยายปากทำลายกราม (ข่าวว่า ใช้กับประตูหลังและประตูหน้าด้วย) หรือเล็กพริกขี้หนู อย่างเครื่องบีบเล็บ/นิ้ว ที่จะบีบจนเล็บหัก (ใครเคยเล็บหลุด จะรู้ว่าเจ็บปวดขนาดไหน) หรือจะบีบกระดูกนิ้วให้แหลกไปเลย (เจ็บปวดกว่า จนอาจต้องตัดนิ้ว/มือ ทิ้งไปเลย) หรืออาจจะเล่นกันใ้ห้ตายไปเลยอย่างเครื่องเสียบร่างด้วยแท่งเหล็กแหลม The Iron Maiden (หญิงพรหมจรรย์เหล็ก)

แต่กระนั้นศาสนาและลัทธิมักจะตีกันเองเสียมากกว่า เพราะมีอยู่หลายศาสนาเหลือเกิน จนแม้แต่ท่านผู้นำหลาย ๆ คนก็โดนกรอกหูจากหลาย ๆ ฝ่ายว่า ถ้าไม่นับถือศาสนา/ลัทธิตน จะตกเหวไปเจอครูมวย (ซึ่งที่จริงแล้วไม่มี เป็นแค่่เรื่องความกระหายอำนาจของพวกที่อยู่ในคราบศาสนาต่างหาก)

“ศาสนาหนะ ดีทุกศาสนา แต่ที่ไม่ดีหนะ คนต่างหาก ที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือหาอำนาจแก่ตนเอง”

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ราวปีบริสตะศตวรรษที่ 14xx (ช่วงต้น ๆ ศตวรรษที่ 15) ประเทศมหาอำนาจกำลังหารือเกี่ยวกับเรื่องจะให้ใครเป็นองค์บร๊ะซานต้าป๊ะป๋า โดยต่างดันให้พ่อพระของสัญชาติตนได้เป็น แต่สุดท้ายก็ตกลงกันไม่ได้ แล้วกลายเป็นว่า ต่างฝ่ายต่างตั้งให้เป็นองค์บร๊ะซานต้าป๊ะป๋าโดยความดื้อรั้น ทำให้เวลานั้นมีองค์บร๊ะซานต้าป๊ะป๋าถึง 3 องค์ในเวลาเดียวกันไปแบบเมพ

แต่ต่อมา โดนสภาคอนแทคเลนส์บีบให้เลือกมาสักคน ถ้าเลือกไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับบ้าน โดยขังทุกคนไว้จนกว่าจะเลือกได้

สภาคอนแทคเลนส์แบบที่เห็นในภาพยนตร์ เทพ กับ เกรียนซานต้า ก็มีต้นกำเนิดแบบนี้เองแหละ

การล่าแม่มด[แก้ไข]

ส่วนไอ้นี่ไม่รู้จะจัดให้เป็นแม่มดหรือพ่อมดดี
แม่มด
แม่มด

แน่นอนว่ายุคนั้นผู้คนกลัวศาสนจักรมาก ใครก็ตามที่ถูกจับได้ (และแน่นอนว่าถูกใส่ร้าย ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นอย่างนี้) จะถูกจับเผาทั้งเป็น ถือเป็นเครื่องมือในการกำจัดคนที่ขวางหูขวางตา โดยอ้างความชอบธรรมได้อย่างหน้าด้าน ๆ ว่าเป็นการกำจัดความชั่ว จนถึงกับมีการจัดทำเป็นหนังสือแนะนำวิธีการล่าแม่มดเลยทีเดียว

ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแ่ม่มดนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้มีความรู้ เช่น นักวิทยาศาสตร์-เคมี นักดาราศาสตร์ นักวิชากวน หมอ พยาบาล หรือสาวน้อยจอมเวทย์ ซึ่งที่พวกเขาถูกกล่าวหานั้นก็ไม่ใช่อะไร แต่เป็นเพราะคนในสมัยนั้นโง่เกินกว่าที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่คนที่ถูกกล่าวหานั้น ทำไปเพื่อช่วยพัฒนาพวกเขาต่างหาก (คนส่วนใหญ่สมัยนั้นโง่แล้วยังเกรียนอีกต่างหาก)

เคยมีเรื่องเล่าเหมือนกันว่า มีคนไข้รายหนึ่งได้รับการช่วยเหลือจากหมอในยุคนั้น แต่หลังหายไข้แล้ว คนไข้ผู้อกตัญญูได้กล่าวหาหมอคนนั้นว่าเป็นพ่อมด เพราะโรคของเขาไม่เคยรักษาหายได้ จึงต้องเป็นเพราะเวทมนตร์แน่ ๆ (และแน่นอนว่า หมอคนนั้นถูกจับและย่างสดในเวลาต่อมา)

ว่ากันว่าผู้ล่าแม่มด มักจะโพกผ้าไว้ที่ศีรษะเป็นผ้าสีเหลือง

หลักการล่าแม่มดก็คือ หาผู้ที่ถูกกล่าวหามาทดสอบต่าง ๆ เช่น การหาร่องรอยการทำสัญญากับปีศาจ เช่น รอยไฝ หูด หรืออะไรก็ตามที่คนปกติไม่ีมีกัน (ปกติในที่นี้คือสิ่งที่คนในสมัยนั้นเขาคิดกัน ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แม้แต่มีสิวก็โดนหาว่าเป็นแม่มดได้ แต่พ่อแม่ก็มักจะพาไปล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ในโบสถ์ เป็นการล้างวิญญาณชั่ว ซึ่งก็ช่วยได้ส่วนใหญ่)

แน่นอนว่าผู้ล่าแม่มด/พวกมารในคราบศาสนาสมัยนั้นจะเล่นไม่ซื่อ ด้วยการจับพวกสาวสวยที่พบเห็นและกล่าวหาว่าพวกเธอเป็นแม่มด (ส่วนใหญ่ด้วยลูกไม้สกปรกที่บอกว่าแม่มดจะไม่มีเลือดให้ไหล แล้วก็ใช้มีดแบบที่ใบมีดหดได้จิ้มไปผิวหนัง) แล้วก็จับแก้ผ้าตรวจสอบกันอย่างสนุกสนาน

ในภายหลัง พวกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดแม่มดเริ่มรวมตัวกันต่อต้าน บวกกับการที่ประชากรเริ่มฉลาดขึ้นมาบ้าง (นิดนึง) (รู้ทันพวกที่เล่นไ่ม่ซื่อ) การล่าแม่มดจึงถูกประกาศห้าม และตกประเด็นไป

ผู้ที่เสียชีวิตจากการล่าแม่มด (อย่างไม่เป็นธรรม) ต่างได้รับการขอโทษจากศาสนจักร (ทั้งที่มีชีวิตอยู่และกลายเป็นผีไปแล้ว) ซึ่งก็ไม่ทราบว่าพวกที่ไปที่ชอบ ๆ แล้วจะให้อภัยหรือไม่

“ถ้าเอาภาพจากหนังของลุค เบสซอง เรื่อง The Messenger The Story of Joan of Arc จะดูโหดกว่านี้อีก จึงไม่นำมาลงในที่นี้ละกัน”

ผู้สอบสวน (Inquisitor)[แก้ไข]

นี่คือวิธีการสอบสวนของเขาล่ะ

ผู้สอบสวน คือบุคคลที่ได้รับการรับรองจากศาสนจักร เป็นตัวแทน นอมินี ในการสอบสวนผู้กระทำผิดเีกี่ยวกับศาสนา พวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำอย่างไรก็ได้ให้สอบสวนได้ (รวมทั้งการทรมาน) แรก ๆ พวกเขาใจดีมาก ใช้ปากได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้ผู้ถูกสอบสวนไม่ประหม่า และมีความสุขดั่งแมวเลียไข่ เล่าความเป็นมาอย่างไม่มีคำโกหกและได้ตัดสินอย่างเป็นธรรม

หลัง ๆ เทคนิคนี้ไม่ค่อยมีคนเรียนรู้/ส่งต่อความรู้ ทำให้การทรมานเป็นสิ่งที่นิยมมากกว่า เดิมทีพวกเขาก็ใส่ชุดผ้าคลุมธรรมดา แต่หลัง ๆ เริ่มใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยหนังสัตว์สีดำมันวับเสียมากกว่า

หลังการล่าแม่มดถูกประกาศห้าม ผู้สอบสวนก็ยังไม่ได้หายไป แต่เปลี่ยนไปจัดการเรื่องพวกนอกรีตแทน รวมทั้งงานสอบสวนผู้กระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองด้วย

ตัวอย่างใหญ่ ๆ ก็คือ การที่กาโลเลอิแย้งกับศาสนจักรว่าโลกนั้นหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่คนสมัยนั้นกล่าวหาเขาว่าเป็นพวกนอกรีต ไม่ยอมรับความเชื่อของพระเจ้า (ที่พวกเขาเชื่องมงายโดยไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก) และก็แน่นอนว่ากาโลเลอิถูกสอบสวนอย่างหนัก และถูกกักขังจนเสียชีิวิต

แต่สุดท้าย ผู้คนก็เริ่มฉลาดขึ้นมา (อีกเล็กน้อย เท่าไข่มด) จึงยอมรับเรื่องโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ส่วนทางศาสนจักร (ก็อีหรอบเดิมว่า) ได้ขอโทษต่อหน้าหลุมศพของกาโลเลอิ

สงครามยุคกลาง[แก้ไข]

สงครามในยุคกลางมันเป็นเรื่องไม่ปกติที่เป็นปกติจ้ะ

สาเหตุของสงครามยุคกลาง บ่อยครั้งเป็นเพราะเป็นการแย่งชิงดินแดน โดยผู้ทำสงครามหลักๆ จะมี :

  • อังเกรียน
  • เศษฝรั่ง
  • อีตานี่
  • และอื่นๆ ที่สมัยนี้ไม่มีแล้ว อย่าง ปั๊มลูกตัวเอง (Sexson - คาบเกี่ยวอยู่แถวๆ ยูหลบตะวันออก) หน้ามัน (Narmun - เป็นพวกที่บุกเกาะอังเกรียน (สมัยที่ยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอยู่) ชนะแล้วตั้งตัวเองเป็นอังเกรียน) หรือ บิดส้นตีน (Bidsonteen - ปัจจุบันเป็นแคว้นของเศษฝรั่ง)

อย่างอังเกรียนกับเศษฝรั่ง ก็ทำสงครามกันหลายครั้ง ทั้่งสงคราม 50 ปี 100 ปี รบกันได้ทั้งวัน ทั้งๆ ที่มันอยู่กันคนละด้านของดินแดน มีทะเลกั้นกลาง

เพราะการรบแบบไม่สิ้นสุดนี้แหละ ทำให้โจรออฟอ๊ากได้ถือกำเนิด สร้างตำนานกอบกู้เศษฝรั่งจากน้ำมืออังเกรียนได้ (แต่สุดท้ายเธอถูกจับขึงพรืด และโดนข้อมูลปกปิด จนเธอขอยอมโดนไฟเผาตาย เยี่ยงแม่มด (ประมาณว่า กุยอมตายดีกว่า) แต่เศษฝรั่งก็กู้ชาติได้ และยกย่องเธอเป็น วีระสาตรีของเศษฝรั่ง จนสมัยนี้มีภาพยนต์เกียวกับเธอมากมาย ยกย่องเธอเป็นนักบุญเลยนะเอ้อ)

  • ตำนานเล่าว่า ก่อนเธอตายเพราะไฟคลอก เธอตะโกนว่า ทำไมถึงทำกับฉันได้ !
  • ว่ากันว่าก่อนเธอถูกประหารด้วยการเผา วันแรก ฝนตกแบบน้ำท่วมโลก ทำให้จุดไฟไม่ได้
  • วันที่สอง ผู้ประหารสั่งนำเธอไปในอาคาร แล้วเผา แต่จุดไฟเผายังไงก็ไม่ติด เชื้อไฟไม่ติดไฟซักที
  • วันที่สาม ผู้ประหารราดเธอด้วยน้ำมัน แล้วจุดไฟเผา ..... เป็นยังไงก็คงรู้แหละนะ

เหตุของสงครามก็มีอย่างเช่น :

  • ยึดครองดินแดน
  • ยึดจุดยุทธศาสตร์ทางทหาร
  • ยึดจุดเศรษฐกิจ เช่น เหมืองแร่ ทรัพยากรป่าไม้ หรือ หิน
  • เหตุผลส่วนบุคคลของผู้รุกราน (แก้แค้นท่านพ่อ หรือแม้แต่ศึกสายเลือด)
  • ความไม่ลงรอยกันทางด้านความคิด (อย่างสงครามกุหลาบ แดง ปะทะ ขาว)
  • ความแตกต่างต้องตาย (ชาวสวิงกิ้งที่รบดะไปทั่ว)
  • แค่เหม็นขี้หน้า เท่านั้นเอง (อังเกรียนกับเศษฝรั่ง)
  • การครอบงำ / ล่าอาณานิคม (อังเกรียนกับลายสก็อตแลนด์ ซึ่งอังเกรียนต้องการลายสก็อตมาเป็นดินแดนใต้อาณัติของตน โดยให้ปกครองตนเอง) (วินนิ่ง วอนท์เลส ตายเพราะโดนอังเกรียนประหารข้อหากบฎ แต่การกบฎก็สำเร็จ และลายสก็อตก็เป็นลายสก็อต .....แต่ก็ยังโดนนับญาติในเครือจักรภพ เพ็ญแขอังเกรียนอยู่ดี)
  • บ้าสงครามไม่หาย ตั้งแต่มีสงครามครูเสด

“ยามศึกเรารบ ยามสงบเราตีกันเอง”

สงครามร้อยล้านปี[แก้ไข]

หลักฐานประวัติศาสตร์ ใบเกณฑ์ทเห่อของโจรออฟอ๊ากในยุคสงครามร้อยล้านปี

อังเกรียนรบกับเศษฝรั่งแบบไม่เคยเบื่อ เพื่อชิงบัลลังก์ประเทศเศษฝรั่ง

เมื่อบังลังก์ว่างลง ฝ่ายเศษฝรั่งอ้างความชอบธรรมในการเป็นกษัตริย์ แต่อีกฝ่ายซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติกับอังเกรียนก็อ้างความชอบธรรมเช่นกัน งานนี้อังเกรียนหวังฮุบประเทศเลยทีเดียว และแน่นอนว่างานนี้เศษฝรั่งยอมไม่ได้ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงตีกันอีนุงตุงนังยิ่งกว่าตังเม (เอาประเทศเป็นเดิมพัน ใครเล่าจะไม่สู้)

แรกๆ อังเกรียนทุนหนากว่าและเกรียนกว่า อีกทั้งทัพเศษฝรั่งพลาดท่าแบบเปิดตำรา (อ่านตรงหัวข้อ ธนู ด้านล่าง) จึงครองความเป็นใหญ่ก่อน

โชคยังดีที่โจรออฟอ๊ากมาช่วยกู้วิกฤต ด้วยการโชว์ของลับพลังลึกลับ จนทหารอังเกรียนแตกตื่น โดนไล่ตบเกรียนกันอย่างกับบี้มด ส่งผลให้พระเจ้าชาลส์ เซเวียร์ที่ 7 แห่ง X-Men ได้เป็นกษัตริย์ของเศษฝรั่งอย่างภาคภูมิ

โชคร้ายที่โจรออฟอ๊ากโดนพลังน้ำชาเข้ามาแทรก ทำให้โดนหักหลัง โดนอังเกรียนจับ แล้วย่างสดด้วยข้อหาโชว์ของลับเป็นแ่ม่มด

โชคดีกลับมารับช่วงต่อ ด้วยที่ทหารเศษฝรั่ง ฮึดสู้ แก้แค้นท่านแม่ ด้วยการหลอยบุกเมืองหลวงเป่าแล้วรีด แล้วดรอปคิกถีบพระเจ้าชาวตกเก้าอี้หัวหัน 180 องศา แล้วยึดอำนาจมาสู้อังเกรียนอีกครั้ง

เบ็ดเสร็จท้ายสุด เศษฝรั่งก็ชิงอำนาจความเป็นใหญ่เหนือดินแดนตนเองได้ แล้วก็จบศึกอันยาวนานนี้เสียที (แต่ก็ยังเขม่นอังเกรียนและแก้แค้นด้วยการส่งเรือรบไปช่วยประเทศอมาริเกย์เพื่อประกาศอิสรภาพ)

สงครามกุหลาบ[แก้ไข]

ในประเทศอังเกรียน มีการแย่งชิงความเป็นใหญ่ (กษัตริย์) ของ 2 ฝ่าย คือ หยอด กับ แลนคาสเต้อ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายก็ใช้กุหลาบ 2 สี เพื่อแยกแยะฝ่ายของตน (จะได้ไม่ตีมั่ว) โดยหยอดใช้สีขาว ส่วนแลนคาสเต้อใช้สีแดง (โชคดีที่หยอดไม่ใช้สีเหลือง)

ทั้ง 2 ฝ่ายรบกัน จนสุดท้ายฝ่ายหยอดก็ชนะแบบหวุดหวิดจากการรบขั้นแตกหักด้วยคะแนนนำ 2 ต่อ 0 เซ็ต เฉือนชนะการยิงเวทลูกไฟของแลนคาสเต้อ และได้รับรางวัลเป็นบัลลังก์ประเทศอังเกรียนไป ต่อมาสายแลนคาสเต้อเอาคืนโดยเฮนรี่ ทิวดอร์ รบชนะกษัตริย์สายหยอดที่ทุ่งบอสเบิร์ด และได้เป็นกษัตริย์ สงครามกุหลาบจึงจบลง

ในปัจจุบันผลความขัดแย้งจากสงครามกุหลาบ สามารถพบได้ในฟุตบอลเมียพี่หลีก ทุกครั้งที่แมนเชสตุ๊ด หมูไนเต็ดเตะกับบ้าบิ่น โล่เว่อร์

อาวุธต่างๆ ในยุคกลาง[แก้ไข]

ธนู (Bow)[แก้ไข]

นี่คือธนูยาว (longbow) อันเลื่องชื่อ
ไม่สิ ต้องรูปนี้ต่างหาก

ธนูเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ระยะไกล ทั้งรุกโจมตีและตั้งรับป้องกันพื้นที่ แต่ด้วยความยากลำบากในการใช้งานและฝึกฝน ทำให้มีแต่พวกอังเกรียนเท่านั้นที่เชี่ยวชาญการใช้ธนู โดยเฉพาะธนูยาวอันลือชื่อ

อีกทั้งเป็นเพราะประเพณีของอังเกรียนที่บังคับเด็กเกรียนทั่วราชอาณาจักร ให้มาฝึกใช้ธนูตั้งแต่ยังหัวไม่เกรียน ทำให้พลธนูชาวอังเกรียน ขึ้นชื่อด้านความสามารถ และความเกรียน เพราะมักได้ยินคำสบถ ด่าในการรบทุกครั้งว่า "มาไม่ถึงกูละเซ่" "ทำไรกูได้ฮ้า" "แม่งโง่หวะ ยืนให้กูยิงเอง" โดยยิงไปสบถไป แล้วก็ยิงๆหนีๆ

ในการยุทธครั้งหนึ่งในดินแดนเศษฝรั่ง ของสงคราม 100 ปี ฝ่ายอังเกรียนได้ใช้เพียงพลธนูยาวตั้งรับพื้นที่ที่เป็นดินลุ่มอันเปียกแฉะด้วยฝนและด้วยไม้เหลาแหลม

ฝ่ายเศษฝรั่งเป็นฝ่ายชิงโจมตี โดยใช้ทเห่อม้าบุกระลอกแรกตามตำราพิชัยสงคราม

ติดอยู่ตรงที่ว่า ทเห่อม้าเป็นพวกรบประชิด เมื่อเจอธนูยาวอันทรงพลัง และทเห่ออังเกรียนที่ฝึกฝนมาตั้งแต่หัวยังไม่เกรียน ก็ทำให้อัศวิน/ทเห่อม้า หลายคนกลายเป็นชีสสวิสเซอร์แลนด์กันไปหมด (พรุนไปด้วยลูกธนู) อีกทั้งยังรุกคืบไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น (เพราะสภาพภูมิประเทศที่เป็นดินแฉะๆ) พวกที่เข้าถึงได้ก็กลับเจอเพียงแค่ไม้เหลาแหลมๆ ทำให้โดนยิงเป็นเป้างานวัดเสียอย่างนั้น

(โดยเศษฝรั่งเล่นกันตามตำรา แต่อังเกรียนเปิดตำราเล่มเดียวกัน แล้วมาแก้เกม)

ผลจากสงครามนี้ทำให้เศษฝรั่งถึงกับเสียประเทศไปเลยทีเดียว (แต่กอบกู้คืนมาได้ในภายหลัง ด้วยการช่วยเหลือจากโจรออฟอ๊าค)

ข้อเสียหลักๆ ของธนูเอง คือ หัวลูกธนูบางครั้งก็ไม่สามารถเจาะเกราะได้ในระยะไกล แม้จะเป็นหัวเจาะเกราะก็ตาม ตามหลักฟิสิกส์คือ ยิ่งระยะไกล แรงส่งยิ่งลดลงไปกับแรงเสียดทานในอากาศ

หากเจอศัตรูเกราะหนาๆ (ส่วนมากจะเป็นทหารอัศวินเดินพื้นเกราะหนัก จากตระกูลดังๆ ที่ทุนหนา) ลูกธนูจะทำได้แค่แฉลบออกข้าง หรือแค่สร้างรูบุบให้กับเกราะเหล็ก หรือไม่ก็ถูกโล่ป้องกันได้ (การสู้กับพวกเกราะหนัก ถ้าไม่ใช้หน้าไม้ ก็เอาอัศวินด้วยกันไปซัดกันดุ้นๆ หรือจะใช้วิธีอื่นก็สุดแท้แต่กำลังทัพ)

หัวธนูแบบเปิดกว้าง สามารถใช้ต่อกรกับม้าศึกได้ โดยทำให้ม้าศึกหมดกำลังในการเดิน เพราะบาดเจ็บเกินไป

จะพอมีบ้างที่ลูกธนูอาจจะเจาะชุดเกราะได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะฆ่าคนในชุดเกราะได้ เพราะชุดเกราะได้ซับแรงไปเกือบหมด (เจาะเกราะ แต่ลูกธนูไม่ฝังลึก ให้ความรู้สึกเหมือนกระสุนถากๆ)

ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือ พลธนูจำเป็นต้องเปิดเผยตัวให้ข้าศึกเห็น เนื่องด้วยข้อจำกัดการง้างคันธนูซึ่งต้องการพื้นที่ บางครั้งอาจเป็นการล่อข้าศึกที่ซุ่มโจมตี ทำให้เสียกระบวนทัพได้ง่าย เพราะพลธนูไม่ได้ใส่เกราะดีๆ และไม่ถนัดการสู้ประชิด

การยิงธนูโดยถือให้คันธนูอยู่ในระดับแนวราบกันกับพื้น เป็นต้นแบบของหน้าไม้ ซึ่งจะกล่าวต่อไป แต่การยิงแบบนี้มันไม่แม่นยำเอาซะเลย เพราะมันเล็งไม่ได้

สำหรับพลธนูหลังม้า จะใช้ธนูสั้นหรือที่มีขนาดเล็กกว่าธนูของพลทหารราบ เนื่องด้วยข้อจำกัดพื้นที่การดึงแขนและเล็งยิง

ธนูยังจัดเป็นอาวุธที่หลากหลายที่สุด ในเรื่องกระสุนที่ใช้เช่นกัน ซึ่งมีทั้งหัวธนูธรรมดา เจาะเกราะ แบบเปิด ฟันเลื่อย ชุบน้ำมันติดไฟ หรือแม้แต่ติดห่อดินระเบิด

หน้าไม้ (Crossbow)[แก้ไข]

หน้าไม้เป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพสุดๆในสงครามช่วงก่อนการคิดค้นดินปืน ด้วยความที่ใช้ง่าย ฝึกง่าย และพลังทำลายสูงทะลุเกราะเหล็กได้ ทำให้เป็นอาวุธที่ได้รับความนิยมไว้ใช้ในการป้องกันพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ แม้แต่ทหารกระจอกยังสามารถฆ่าอัศวินผู้สูงศักดิ์ด้วยการยิงถูกเป้าหมายจังๆเ พียงนัดเดียว (บางครั้งก็เรียกกันว่า ดักควาย)

จริงๆ แล้วหน้าไม้ของยูหลบลอกของจีนมาอีกที ในปัจจุบันก็เลยโดนจีนลอกกลับ กลายเป็นของก๊อปจีนแดงขายกันเกลี่อน

หน้าไม้แม้จะเหมือนธนูในหลายๆอย่าง แต่สาย/เอ็น จะถูกขึงให้ตึงกว่าธนูปกติ ทำให้ได้แรงศักย์ที่สูงกว่าธนูมาก

ผู้ใช้หน้าไม้ในการรบสามารถหลบหลังที่กำบังแล้วเล็งยิงได้โดยเปิดเผยตัวได้น้อยกว่าพลธนู

ข้อเสียมีอย่างเดียว คือ ยิงในอัตราที่ช้ากว่าธนูมาก ในอัตรา 1 ต่อ 6 (หรือจนถึง 12) แม้พลหน้าไม้จะสามารถพกโล่ตั้งพื้นไปด้วยแล้วหลบยิงหลังโล่ก็ตาม ก็ไม่สามารถตั้งรับลูกธนูได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าไร

อีกทั้งระบบช่วยดึงสายหน้าไม้แบบชุดรอกเชื่อก บางครั้งกลับทำให้ยุ่งยากและช้ากว่าเดิม เพราะมันเกะกะสุดๆ แถมยังพันกันได้อีกต่างหาก

กระนั้นก็ตาม มีนายพลทหารผู้หนึ่งยังเคยกล่าวไว้ว่า "ช่างเป็นอาวุธที่อันตรายยิ่ง ข้าเห็นคนโดนยิงแล้ว ลูกธนูยังทะลุร่างผู้เคราะห์ร้ายคนแรก ไปถูกคนข้างหลังรวมทั้งหมดถึง 3 คนทีเดียว อย่างกับว่าเสียบลูกชิ้นปิ้ง"

เคยมีครั้งหนึ่งที่ศาสนจักรประกาศแบนหน้าไม้ว่าเป็นอาวุธที่โหดเหี้ยมไร้คำบรรละยาย แต่ทหารสมัยนั้นไม่สนใจซะอย่าง กุเกรียน กุจะใช้ มีอะไรอ๊ะป่าว ไม่มี Anti มาห้ามกุ กุจะใช้ จะทำไมกุ (แม้แต่ตอนเล่น Dota ก็ใช้โปร)

หน้าไม้แบบพื้นฐานใช้ขาผู้ใช้เหยียบโกลนที่ติดอยู่ปลายหน้าไม้เพื่อเป็นตัวยึดกับพื้น ขณะที่ผู้ใช้ง้างสายหน้าไม้เข้าไกล็อก

หน้าไม้ที่ขึ้นสายเตรียมยิงไม่ถูกโรคกับฝนอย่างมากเพราะจะทำให้สายหย่อน และเสื่อมเร็วกว่าปกติ

หน้าไม้ของจีนเป็นหน้าไม้แบบกึ่งอัตโนมัติ (Repeating Crossbow) ซึ่งสามารถยิงได้หลายครั้งแต่ไม่แม่นเอาซะเลย แต่เขาไม่สนหรอก เพราะพวกเขาเชื่อมาตลอดว่าจำนวนมากกว่าย่อมดีกว่า

แม้โดยหลักแล้วหน้าไม้จะเสียเปรียบธนู อย่างมาก แต่เพราะด้วยความที่ว่าใช้งานง่าย พลังทำลายสูง มันจึงเหมาะกับทหารชาวบ้านป้องกันเมือง

ทวนประลอง (Jousting Lance)[แก้ไข]

การประลองทวนยุคปัจจุบัน
อันนี้คือทวนประลอง ยุคโบราณ... อย่าโดนเสียบด้วยไอ้นี่ในสนามรบเข้าหละ

ถ้าพูดถึงอัศวินขี่ม้า ภาพของอาวุธชิ้นนี้มักจะปรากฏขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรกในความคิดของหลายคน

ทวนยุโรป หรือ ทวนประลองนี้ ถือเป็นอาวุธที่สุดแสนจะเรียบง่าย แต่ก็เรียกได้ว่าสิ้นคิดมาก

แนวคิดง่ายๆ คือ ถ้ากูอาวุธยาวกว่า กูต้องได้เปรียบกว่า ไม่มีอะไรยากเย็น แค่เอาไม้มาเหลาเป็นทวนรูปกรวยยาวมากๆ ตรงปลายก็จะแหลมๆ

การใช้ก็ไม่ซับซ้อนอะไรเลย หาม้าขี่สักตัว แล้วเอาทวนหนีบรักแร้แน่นๆ จากนั้นพุ่งม้าเอาทวนรูปกรวยนี้ทิ่มศัตรูให้มิดด้ามเลยทีเดียว

เพราะอาวุธชิ้นนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อการฟัน การฟาด เหวี่ยง แต่มันเกิดมาเพื่อการ "ทิ่มแทง" อย่างเดียว

ใครโดนเสียบก็ถือว่าซวยมาก ตายหยังเขียดลูกเดียว

แต่ถ้าเสียบแล้วไม่โดนจังๆ คนที่ใช้ทวนซวยแน่ๆ เพราะเสียบแล้วถ้าไม่หัก ก็หนักเกินและเสียเวลากว่าจะดึงเหยื่อออกมาใช้ใหม่

ขอเพียงแค่อย่าไปยืนทะเล่อทะล่ากลางที่กว้าง หรือไม่ก็หลบหลังเนินเขาหรือป่า ก็เอาตัวรอดจากไม้เสียบลูกชิ้นนี้ได้แล้ว

ถึงกระนั้น ยามสงบ พวกอัศวินก็มักจะเอามาประลองกันจัดเป็นงานใหญ่โต สร้างความสนุกนานเฮฮา เรียกเลือดได้อย่างสะใจคนดู จนสมัยนี้ถึงกับสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับการประลองทวนอันน่าตื่นเต้นนี้ด้วย

หอก, ทวน, อาวุธประเภทหอก (Spear/Lance/Polearm)[แก้ไข]

หอก ก็คือหอกนั่นแหละ (มันคงไม่ใช่ดาบ) ลักษณะของมันก็คือ ไม้ยาวๆ ติดมีดที่ปลายด้านหนึ่ง ใช้แทงศัตรู

หอกจัดเป็นอาวุธที่ฝึกใช้ได้ง่ายและราคาถูก เหมาะสำหรับทหารราบหรือทหารอาสา (Militia) ที่ป้องกันหมู่บ้าน แถมหอกยังจัดเป็นอาวุธที่ชนะทางทหารม้า อย่างยิ่งยวด และจะทรงพลังเมื่อจัดขบวนรบหน้ากระดานสำหรับป้องกันพื้นที่

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของมันคือ ด้ามหอกมักจะเป็นไม้ จึงสามารถถูกศัตรูเดินพื้นตัดปลายหอกได้ และพลังที่แท้จริงของหอก จะเกิดเต็มที่ก็เมื่อจัดขบวนรบที่เป็นระเบียบเท่านั้น

กระนั้นก็ตาม อาวุธหอกที่ด้ามทำด้วยเหล็กทั้งดุ้นเลยก็มี รวมทั้งอุปกรณ์เสริมมากมายพอๆ กับของที่เอาไว้แต่งรถสมัยนี้

สามารถหาชมตัวอย่างได้ในคลังแสงพระราชวังในวัดพระแก้ว ซึ่งเปิดให้ชมได้ฟรี

หอกแต่ละชนิด ถูกจัดระดับตามชื่อ โดยความยาวและอุปกรณ์เสริม

  • หอก คือ หอกสั้น (ที่อื่นอ้างอิงว่าไม่เกิน 12ฟุต)
  • ทวน คือหอกที่ยาวกว่าหอกธรรมดา (ยาวกว่า 12 ฟุต)
  • Polearm คือหอกที่ติดอุปกรณ์เสริมต่างๆ หรือแม้แต่หอกที่ไม่ได้ติดปลายมีด อย่างเช่น ตุ้มค้อน ขวาน หรือใบมีดยาว/โค้ง

อาวุธหอกยังมีใช้เรื่อยมา แม้จะมีปืนแล้วก็ตาม โดยยุคดินปืน หอกจะเป็นอาวุธของนายทหาร (ร่วมกับปืนสั้น) และทหารราบขั้นต่ำ (ใช้ต้านทหารม้า)

หลังๆ จึงโดนดาบปลายปืนมาแทนที่พลทหารหอก เพราะใช้แทนกันได้ (ส่วนนายทหารก็ได้รับดาบมาแทน)

อาวุธขว้าง[แก้ไข]

ส่วนใหญ่มักคิดกันว่า แค่ก้อนหินธรรมด้า ธรรมดา จะมีพิษมีภัยอะไร้ แต่ก้อนหินธรรมด้าธรรมดานี่แหละ คืออาวุธขว้างพื้นฐานของพวกไม่มีอาวุธ ที่ทำให้แม้แต่อัศวินเกราะหนายังหัวแตกได้

อาวุธขว้างมีอยู่หลากหลายชนิด เช่น ก้อนหิน มีด หอก แหลน ขวาน ขยะสด ขนมปัง แก้วเหล้า ถังไม้ เก้าอี้ และอื่นๆ อืกมากมาย เท่าที่จะหาหยิบมาขว้างกันได้

สำหรับพวกที่เส้นหนา ไม่ขำกับข้างบนนั่นแล้วหละก็

พวกที่ชื่นชอบอาวุธขว้าง คงหนีไม่พ้นชาวไวกลิ้งกับขวานขว้างของพวกเขา เพราะทเห่อไวกลิ้งบางคนไม่ได้มีขวานด้ามเดียว พี่แกเลยขว้างของเหลือใช้ไปเฉาะหัวศัตรูก่อน

หรือแม้แต่ชาวยูหลบเอง ก็ไม่ใช่ว่าใช้ไม่เป็น แหลน อาวุธที่ยังหลงเหลืออยู่จากยุคโบราณ ก็ยังมีใช้งานอยู่บ้างในหมู่ทหารราบ

ดาบ (Sword)[แก้ไข]

ดาบสารเลว

ดาบมีมากมายหลายแบบ ตามแต่ประเทศ/พื้นที่ โดยดาบลูกไม่มีพ่อ ดาบสารเลว หรือ Bastard Sword ก็กำเนิดขึ้นยุคกลางนี่แหละ

ดาบสมัยนี้ส่วนใหญ่จะยาวกว่ายุคโบราณอยู่มาก (เน้นหวด+ฟาดเข้าว่า) ด้วยความสามารถของช่างตีเหล็กในสมัยนั้นที่สามารถหล่อเหล็กกล้าคุณภาพดีกว่าแต่ก่อน (แต่ก่อนอย่างเก่งก็ทำได้แค่เหล็กธรรมดาแบบไม่ได้ถลุง)

คทา, ค้อน, ขวาน (Scepter/Mace/Axe)[แก้ไข]

ไวกิ้งถือขวาน (ไม่ใช่พม่ารำขวาน)

อาวุธประเภทค้อน/คทา นี้ก็เป็นอาวุธที่ได้ความนิยมอย่างมากในหมู่นักรบผู้มีอันจะกินซักหน่อย ด้วยความที่มันไม่ได้ทำร้ายเกราะภายนอก (แต่บางครั้งก็ทุบจนเกราะบุบไปเลย) แต่ทำลายกล้ามเนื้อและกระดูกภายใน

บางครั้ง พวกอัศวินที่ใช้อาวุธจำพวกค้อนนั้น ก็เพื่อจับศัตรูที่บาดเจ็บไปเรียกค่าไถ่ (จับเป็นเชลย ว่างั้นเถอะ) (โดนค้อนฟาดหัว ถึงกับล้มทั้งยืน) และบางครั้ง จะริบชุดเกราะนั้นแหละเป็นค่าไถ่ตัว (เหตุการณ์จับเชลยนี้พอมีให้เห็นกัน หากเป็นการรบเล็กๆ น้อยๆ)

ส่วนขวานนั้น เน้นทำลายเกราะแบบหน้าด้านๆ เลย คือจามสุดแรงเกิด ใช้แรงเหวี่ยงเจาะเฉือนทะลุเกราะเข้าร่างเนื้อ

ข้อเสียของค้อน/คทา คือ มันมักจะมีระยะสั้นและหนักกว่าดาบ ทำให้โจมตีได้ช้าอยู่สักเล็กน้อย

ส่วนขวาน ก็ใช้เวลามากในการเหวี่ยงและถือ เปิดช่องว่างให้ศัตรูที่รวดเร็วชิงกระทำการก่อน แต่ถ้าใครโดน คงต้องบอกว่าไปเจอกันชาติหน้าได้เลย

โดยปกติ หากเป็นทเห่อใส่เกราะหนักๆ สู้กัน ค้อนจะพอมีประโยชน์มากกว่าดาบ ในด้านการจับเชลยศึก

อาวุธปิดล้อม (Siege Engine)[แก้ไข]

อาวุธปิดล้อมมีอยู่หลายอย่างที่น่าสนใจ

อย่างพื้นฐานสุดๆ ก็เป็นเครื่องกระทุ้งประตูเมือง (Ram) ที่ใช้ในการพังประตูเมือง หัวหุ้มเหล็ก ด้ามทำด้วยซุงท่อนใหญ่ ใช้คานและเชือกในการเหวี่ยงกระแทกระยะประชิดใส่เป้าหมาย หลังคาและฝาผนังเครื่องกระทุ้งบุด้วยไม้และหนังสัตว์ เพื่อปกป้องพลขับ (?) จากลูกธนู

หรืออย่างเครื่องดีดหิน ที่รู้ๆ กันอย่างไม่ต้องพูดถึง มีทั้งแบบหินก้อนใหญ่เดี่ยวๆ (Catapult) หรือหินก้อนเล็กๆ หลายก้อน (Mangonel)

หน้าไม้ยักษ์ (Balista) ที่ชื่อก็บอกแล้วว่าหน้าไม้ยักษ์ ใหญ่สุดก็ประมาณครึ่งหนึ่งของรถเก๋ง

เครื่องเหวี่ยงหินสุดอลังการ (Trebuchet) ซึ่งมีพลังทำลายรุนแรงกว่าอาวุธปิดล้อมอันอื่นๆ (แรงสุดแล้ว แพ้พวกปืนใหญ่ดีๆ) แถมยังมีความแม่นยำมากกว่าใคร

หอรบปีนกำแพง ก็ใช้ในการส่งคนขึ้นพาหนะที่ความสูงเท่ากำแพงเมือง แล้วเทียบกำแพงเมืองด้วยสะพานไม้ หรือจะทำเป็นบันไดทางลาดขึ้นไปเลยก็ได้

อาวุธปิดล้อมใช้ในการโจมตีอาคารสิ่งปลูกสร้างอย่างปราสาท กำแพงเมือง หรือแม้แต่กลุ่มทหารกองใหญ่ๆ

เสริมอีกนิดคือ บางครั้งเจ้า Trebuchet ไม่ได้เหวี่ยงหินอย่างเดียว มันสามารถเหวี่ยงซากสัตว์ติดเชื้อโรค ถล่มเมือง ให้คนในเมืองติดโรคตายได้ด้วย

อาวุธปิดล้อมต่างๆ ทำให้เกิดทหารอาชีพแบบใหม่ คือทหารช่าง (บางครั้งทหารช่างก็ติดอาวุธรบเหมือนทหารราบธรรมดาด้วย) (ถ้านึกไม่ออก ให้นึกถึงทหารโรมัน นั่นแหละทหารช่าง ลุยไปสร้างไป)

รวมดาวสารพัดอาวุธปิดล้อม[แก้ไข]

อาวุธดินระเบิด (Gunpowder Weapons)[แก้ไข]

ปืนใหญ่คุณภาพดี ที่ยังเหลือรอดจนถึงปัจจุบัน
Wheellock ของนิยมตำรวจจราจรยุคปัจจุบัน
ปืน ที่เข้ามาแทนที่ธนูยุคแรกๆ แต่คนยุคนั้นยังปรับตัวกันไม่ทัน
ปืนใหญ่ที่ระเบิดคาที่

ไอ้เจ้าดินระเบิดเนี่ยกว่าจะได้เกิด ก็ราวๆ ศตวรรษที่ 16 หรือ 17 ละมั้ง ก่อนหน้านี้มันก็มีนะ อย่างปืนสั้นแบบหยาบๆ หรือแม้แต่ปืนใหญ่ขนาดเล็ก แต่ด้วยความที่ว่ามันยังอยู่ขั้นเริ่มพัฒนา มันจึงใช้งานลำบากและอันตรายอย่างมาก (ปืนแตกได้ระหว่างยิง) อาวุธอย่างธนู หรือหน้าไม้ ยังมีพอมีใช้ควบคู่ไปกับ กองกำลังอาวุธดินระเบิด

ปืนสมัยแรกๆ จะเป็นปืนสั้นติดไม้ ประมาณปืนใหญ่ขนาดมินิ (มันไม่ใช่ปืนสั้นแบบถือด้วยมือเดียวอะไรอย่างนั้น แต่เป็นเหมือนปืนใหญ่ แต่ขนาดเล็กมาก) ถือโดยใช้มือจับด้านส่วนที่เป็นไม้ ส่วนมืออีกด้านถือคบไฟ ใช้จุดชนวนปืนสั้น

พูดง่ายๆ สั้นๆ มันคือปืนใหญ่ขนาดจิ๋ว ใช้คนเพียงคนเดียว พกพาไปยิงที่ไหนก็ได้ ส่วนพลังทำลายนั้น คิดซะว่า มันแรงกว่าปาลูกหินด้วยมือก็แล้วกัน แต่ความแม่นไม่เอาอ่าวซะเลย

ปืนที่เป็นปืนแบบปกติที่คนธรรมดาจะเข้าใจ เห็นจะเป็นปืนไฟคาบชุด หรือ Matchlock ใช้เชือกติดไฟ (แบบไหม้ช้า) เป็นตัวจุดดินระเบิด

ปืนคาบศิลา (Flintlock - ปืนหินไฟ) ทำงานโดยใช้ไกหนีบหินเหล็กไฟให้กระแทกเผ่นเหล็ก จุดให้เกิดประกายไฟ เพื่อจุดดินระเบิดในรังเพลิง ดีกว่าปืนไฟแบบแรกอยู่หน่อยนึง ตรงที่ไม่ต้องคอยดูแลเชือกจุดไฟ (อย่างไรก็ตาม หินเหล็กไฟมีโอกาสแตกใส่หน้าคนยิงได้ แถมยังมีข้อเสียเดิมๆ เหมือนปืนไฟ คือไม่รับประกันด้วยว่ามันจะระเบิดแบบดีๆ หรือระเบิดใส่หน้าคนยิง ถ้าใส่ดินปืนเกินขนาด หรือปิดรังเพลิงไม่ดี)

Wheellock เปลี่ยนจากไกหินกระแทกเป็นลูกล้อ โดยใช้พลังหมุนล้อเสียดกับหินเหล็กไฟ ทำให้เกิดประกายจุดดินระเบิดแทน แต่ปืนแบบนี้ผลิตได้ยาก มีราคาแพง ส่วนมากจะเป็นปืนสั้นของพวกนายทหารเสียมากกว่า ปัจจุบันเป็นของที่นิยมมากในหมู่ตำรวจจราจร

หลังยุคกลางไป ค่อยเปลี่ยนเป็นนกสับกระแทกเข็มชนวน และระบบกระสุนมีปลอก ซึ่งผลิตได้ในจำนวนมากเพิ่มความแม่นยำ และปลอดภัยอย่างมาก

ส่วนอาวุธอย่างปืนใหญ่ แบบหยาบสุดๆ ก็มีลำกล้องที่ทำด้วยท่อนซุง รัดด้วยแถบเหล็ก อันนี้ต้องบอกเลยว่า ใครเป็นคนจุดนี่ต้องวิ่งหนีเลยทีเดียว เพราะมันไม่รับประกันว่ามันจะยิงไปข้างหน้าหรือระเบิดมันตรงนั้นแหละ (รายการ Mythbuster ของช่อง Discovery Channel ทำการจำลองปืนใหญ่แล้วทดลองยิงมาแล้ว)

ปืนใหญ่ยุคต่อมา ก็ยังไม่เอาถ่าน คือ ปืนใหญ่แจกันของชาวเติร์ก (ชนกลุ่มแรกที่ใช้ปืนใหญ่ในสงคราม) อันนี้ก็พอทำเนา แต่ก็ยังเสียวๆ อยู่ว่ามันจะบึ้มคาที่ ไหม

ปืนใหญ่ยุคหลังๆ (ปลายๆ ยุคกลาง หรือเริ่มยุคจักรวรรดิ) เริ่มปลอดภัยและแม่นยำกว่าเดิม อย่าง Culverine, Basilisk, Bombard, Mortar หรือ Howitzer (2 หลัง ยิงแบบวิถีโค้ง)

ปืนใหญ่ยุคนี้ มีบางกระบอกที่หน้าตาดูแล้วไม่น่าจะเอาไว้ใช้ยิง เช่น Tsar Cannon ในพระราชวัง Kremlin ซึ่งขนาดกระสุนลูกเหล็ก คือ 89 ซม.

ตัวดินปืนเองก็มีการพัฒนาด้วย อย่างแต่ก่อนที่เอาส่วนผสมอย่างข้อมูลปกปิดมารวมกันเฉยๆ ต่อมาจึงผสมน้ำแล้วนำไปตากแห้ง ทำให้ได้ดินปืนที่ผสมเข้ากันได้ดีและจุดติดทั่วถึง หรือการพัฒนาสูตรการผลิตดินระเบิดดำ ที่พลังสูงกว่าเดิม

ระเบิดมือก็ได้ถือกำเนิดในปลายยุคกลางเช่นกัน โดยหน้าตาก็คล้ายๆ ลูกปืนใหญ่ขนาดเล็กนั่นแหละ แต่มีสายชนวน สำหรับจุดไฟ (ระเบิดก้อนกลมๆ เห่ยๆ สีดำๆ มีสายจุดไฟ)

กองทหารหลังยุคกลาง (ยุคจักรวรรดิ) ได้นำนวัตกรรม ระเบิดมือนี้ ไปใช้ได้เป็นงานเป็นการ โดยแจกจ่ายให้กับทหารชั้นแนวหน้า ที่เรียกกันว่า Grenadier

อาวุธนอกแบบ[แก้ไข]

อาวุธนอกแบบ คืออาวุธที่ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในหมวดไหนเลย มีตั้งแต่กับดักถึงน้ำมันเดือด จนสิ่งของง่ายๆ อย่างไม้เหลาแหลม

กับดัก ก็คงรู้ๆ กันอยู่ แต่โดยปกติแล้วในสงครามมักจะไม่ใช้กับดักไปวางมั่วซั่วสักเท่าไร เพราะอันตรายต่อพวกเดียวกันเองหรือผู้ไม่เกี่ยวข้อง (อย่าง พลเรือนหรือสัตว์ป่า) แถมยังเป็นการบีบบังคับการเดินทัพของฝ่ายเราเองด้วย

น้ำมันเดือด คือการนำน้ำมันดิบไปต้มให้เดือด (สมัยนั้นยังไม่รู้จักการกลั่นน้ำมัน อีกทั้งน้ำมันดิบนั้นเหมาะที่สุดแล้ว เพราะมันกึ่งเหลว/แข็ง ทำให้ติดพื้นผิวได้ดี โดยเฉพาะผิวหนังมนุษย์) แล้วบรรจุลงหม้อบนกำแพงเมือง เพื่อเตรียมเทใส่ผู้โชคดี ที่กำลังเต้นรูดกำแพงเมืองอยู่ด้านล่าง

“They looks thirsty, let's give them something to drink!”

~ เหล่โอไนตรัสแห่งสปาร์ต้ากล่าวก่อนผลักทเห่อชาวเพ้อเชี่ยลงทะเล

“They looks dirty, let's give them something to wash up!”

~ ทเห่อเฝ้ากำแพงเมืองก่อนสาดน้ำมันเดือดปุดๆ ใส่ศัตรูที่อยู่ด้านล่างให้อาบอย่างสนุกสนาน กรี๊ดกร๊าด

หากไม่มีน้ำมันเดือด ทรายคั่วร้อนๆ ก็ใช้ได้ดีพอสมควร ในเมื่อมันสามารถไหลเข้าชุดเกราะศัตรูได้เช่นกัน (โครตโหด แต่น้อยกว่าน้ำมันเดือด) ถ้านึกไม่ออก ให้นึกถึงทรายคั่วเกาลัด สีดำๆ ร้อนๆ นั่นแหละ

หากไม่มีอะไรจริงๆ ก็ใช้น้ำร้อนได้เหมือนกัน แต่อาจจะไม่สะใจฝ่ายป้องกันซะเท่าไร

กล่องบรรจุหินแบบเปิดฝาได้ ก็สามารถปล่อยหินใส่คนที่อยู่ด้านล่างได้เช่นกัน หรือแม้แต่คานเหวี่ยงหินที่ใช้กวาดศัตรูที่กำลังปืนกำแพงเมืองอยู่ (พบได้ในภาพยนตร์เรื่อง The Kingdom of Heaven) เหวี่ยงสองด้าน เพื่อการทำลายล้างอันสุดยอด แล้วรอผู้โชคดีที่อยู่ตรงกลาง ระหว่างหินสองก้อนที่เหวี่ยงเข้าหากัน.....แผละ! แล้วเราจะได้โกโก้ครั้นช์...เอ้ย แพนเค้ก ต่างหาก

ท่อนซุงจะสามารถใช้แทนกล่องบรรจุหินได้ แถมได้ผลดี หากป้อม/กำแพงตั้งบนที่สูง ลาดชัน

ก้อนหินกลมขนาดใหญ่ ก็สามารถปล่อยทิ้งผ่านปล่องประตูเมือง หรือขว้างใส่หน้าด้านๆ เพื่อสกัดผู้รุกรานให้หงายเก๋ง หัวแตก คอหัน หรือแบนแต๊ดแต๋ก็ได้

คูน้ำรอบเมืองก็ช่วยจำกัดเส้นทางการรุกได้เป็นอย่างดี แม้แต่ไม้เหลาแหลมๆ ปักดิน/ตั้งพื้น ก็ใช้แทนได้เช่นกัน

การขุดเหมือง/อุโมงค์ ก็ใช้ในการสร้างทางใต้ดิน หรือขุดเข้าไปจุดไฟเผาฐานรากของกำแพง/ป้อม (ยังเป็นวิธีที่อันตรายอยู่ เพราะการขุด+วัสดุรองรับสมัยนั้น ทำให้เหมืองถล่มได้ง่ายๆ อีกทั้งสภาพอากาศที่ฝนตกบ่อย ทำให้พื้นดินเหนือเหมืองถล่มได้ง่ายขึ้น)

ม่านควันที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงหรือจากระเบิดของสารเคมี ก็มีการใช้เพื่อล่อลวง อำพราง หรือดึงดูดความสนใจได้เช่นกัน

อาวุธประยุกต์[แก้ไข]

บางครั้งคนในสมัยนั้นก็มีแนวคิดที่แปลกประหลาดไม่ปกติเหมือนชาวบ้าน ออกแนวสมองเพี้ยนเล็กน้อยบ้าง แต่การนำมาผสม ประยุกต์ ปรับใช้นั้น ให้ผลได้ดีทีเดียว เช่นผลงานดังต่อไปนี้

  • เครื่องยิงลูกระเบิด จริงๆ แล้วมันก็คือเครื่องดีดหรือเครื่องยิงหน้าไม้ แต่ใช้กระสุนเป็นลูกระเบิดที่จุดไฟแล้ว เรียกได้ว่าเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างอาวุธปิดล้อมแบบเก่ากับปืนใหญ่ (พลังทำลายก็ประมาณนี้)
  • เครื่องยิงปืนกลแกนหมุน มีคนคิดเอาปืนหลายๆ กระบอก มักติดไว้กับแกนหมุน (ทั้งแบบติดเป็นแผงและแบบแกนหมุนวงแหวน) ผลก็คือได้ปืนที่สามารถยิงต่อๆ กันได้หลายกระบอก แต่มันก็ออกจะใช้งานยากเหมือนกัน
  • ปืนลูกซองใหญ่ จริงๆ แล้วมันก็คือปืนใหญ่นั้นแหละ แต่เขาใช้ลูกกระสุนขนาดที่เล็กลง แต่มีจำนวนมาก และผลที่ได้คือ ลูกซองยุคคุณทวดนั่นเอง
  • ป้อมเคลื่อนที่ เห็นแล้วอาจจะนึกว่าเป็นบ้านไม้ทรงกลม แต่มันเคลื่อนที่ได้ด้วยกลไกฟันเฟือง โครงทำจากไม้ แต่ภายในมีทหารปืนไฟค่อยๆ ยิงเก็บศัตรู
  • ปั้นจั่น อย่าเห็นว่าเป็นแค่เครื่องมือก่อสร้างแล้วจะทำอะไรไม่ได้ ปั้นจั่นสามารถใช้ในการกวาดพวกที่ชอบปืนกำแพง หรือแม้แต่การใช้ปั้นจั่นขนาดใหญ่ในการเหวี่ยงกระแทกเรือที่เข้ามาในระยะให้จมลงได้

กองทหารเกรียงไกร[แก้ไข]

ในแต่ละประเทศจะมีตำนานกล่าวถึงทหารของประเทศตนเองว่า ยอดเยี่ยมด้านใดด้านหนึ่งหาใดเทียม ซึ่งเราจะนำเสนอให้ตามเท่าที่มีความรู้ (หรือไปลอกที่อื่นมา)

ยันละเมอ[แก้ไข]

Landsknecht

ทหารรับจ้างชาวยันละเมอ ขึ้นชื่อด้านความเทพด้านการรบประชิด ที่มีทั้งดาบใหญ่ Zweihander ดาบเล็ก Katzbalger หอกยาว และหอกพิศดาร (จำชื่อไม่ได้) ที่ปลายหอกหุ้มด้วยเหล็กจนถึงกลางด้าม

ช่วงหลังๆ บางคนก็เริ่มถือปืนไฟด้วย

Reiter

อ่านเพี้ยนๆ ได้ว่า หรอยเต้อ ซึ่งก็หรอยจริงๆ เพราะพวกเขาคือทหารม้าที่พกปืนเล็กไว้ยิงได้ ซึ่งต่างกับทหารม้าชาวบ้านยุคแรกๆ ที่ ถือแต่อาวุธประชิดกัน

ทหารสวิส

ชีสสวิส[แก้ไข]

Swiss Guard

กองทหารรักษาองค์บร๊ะซานต้าป๊ะป๋าแห่งบริสตจักร ที่รับเฉพาะคนสวิสด้วยกันเท่านั้น

พวกเขาปกป้ององค์บร๊ะซานต้าป๊ะป๋ามาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา และมีอาวุธประจำกายแค่หอกเท่านั้น (ยกเว้นหน่วยงานสมัยใหม่ที่ใช้ปืน)

โดยทหารสวิสที่ถือหอกจะใส่เครื่องแบบสีส้มเหลืองน้ำเงินแขนพอง ขาพอง ดูเหมือนฟักทองแจ๊คโอแลนเทิร์นในวันฮัลโลวีนเอามากๆ

แม้เครื่องแบบนี้จะถูกออกแบบโดยศิลปินเอก เมเกย์ลันเจลโล่ แต่มีคนกล่าวว่าสิ่งนี้ต้องไม่ใช่ผลงานเอกของเขาแน่นอน

พลธนูยาว อังเกรียน[แก้ไข]

ดังที่ได้เล่าไว้แล้วด้านบน ถึงความเกรียนไกรของพลธนูอังเกรียน มีคนเคยเปรียบไว้ว่า ธนูยาวอังเกรียนเทียบได้กับปืนกลในสมัยนี้

กองทหารปืนไฟ[แก้ไข]

กองทหารถือปืนในช่วงปลายยุคกลางมีให้เห็นกันดาษดื่น ซึ่งในแต่ละประเทศก็จะมีชื่อเรียกต่างกัน

  • อีวาน : Streltsy / Strelets
  • สเปน : Tercio - กองทหารที่ประกอบด้วย พลดาบโล่ห์ (Rodeleros) พลหอก และพลปืน ผสมกัน ซึ่งขึ้นชื่อว่าเทพที่สุดแล้วในสมัยนั้น
  • จักรวรรดิออดโต้บานห์ : Janissary - พลปืนชาวแขก มีปืนที่ยาวกว่าชาวบ้านอย่างมาก
  • อังเกรียน : Redcoat (ไม่ใช่ แมงเสื้อด๊อบ แต่อย่างใด)
  • เศษฝรั่ง : Musketeer (ประเทศอื่นก็เรียก Musketeer แต่ถ้าให้นึก ต้องนึกถึงเศษฝรั่งกับภาพยนตร์ 3 ทหารเสือ)

กองทหารม้า[แก้ไข]

ม้าที่พวกทหารนิยมขี่

อัศวินกำลังทำงานโดยการทะเลาะกับกังหันลม

กองทหารม้ามีอยู่หลายชนิด

  • ทหารม้า Knight ในยุคแรกๆ ที่ไม่มีการจัดหมวด จะเรียกว่า Knight หรือ อัศวิน ทั้งหมด ซึ่งพวกเขามีอาวุธตั้งแต่ดาบพื้นๆ ไปจนถึง ทวนประลอง ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อด้านบนเรื่องอาวุธ

ตามธรรมเนียม ใช่ว่าใครจะเป็นอัศวินได้ ซึ่งมีข้อกำหนดเยอะมาก เช่นว่า ต้องมาจากตระกูลผู้ดีเท่านั้น มีเกราะอาวุธครบชุด (ต้องรวยหน่อยหละ) และต้องเป็นทหารอัศวินฝึกหัดก่อน แล้วค่อยได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินจากเจ้าแผ่นดิน มีพิธีแต่งตั้งและธรรมเนียมปฏิบัติหลังจากการแต่งตั้ง ด้วยการผลักหน้าอก (หรือบางที่ก็ตบหน้าหัน) เป็นเครื่องบอกว่า นี่จะเป็นการดูถูกเหยียดหยามครั้งสุดท้าย ต่อไปให้รักษาเกียรติยิ่งชีพ

  • ทหารม้าบ้า Hussar พวกเขาถือดาบเล็ก (บางคนก็ถือดาบอาหรับ) แล้ววิ่งควบไปอย่างรวดเร็วสู่สนามรบ เพื่อตอดพวกที่แตกขบวน
  • ทหารม้าหนัก Cuirassier ได้ชื่อมาจากเสื้อเกราะที่พวกเขาใส่อยู่
  • ทหารม้าปืน Dragoon / Carbineer ทหารม้าปืน Dragoon จะถือปืนยาวติดตัวไปด้วย ในขณะที่ Carbineer เป็นรุ่นพัฒนา ถือปืน Carbine ซึ่งเล็กกว่าปืนยาว และเหมาะกับการใช้บนหลังม้ามากกว่า เพราะเล็กและคล่องตัวกว่า (แต่ยังจัดเป็นปืนยาวอยู่)
  • ทหารม้าธนู Mongolian Horde อันนี้มาแปลกกว่าชาวบ้าน คือขี่ม้าถือธนู ซึ่งชาวยูหลบไม่เคยคิดจะทำกัน (เพราะเทคโนโลยีอาวุธไม่อำนวย) และพวกเขาก็ไม่กระจอก เพราะมองโกลของพี่เจงกีสข่านแกตีไล่มาจากเอเชย ถึงยูหลบเลยทีเดียว

ทหารช่าง[แก้ไข]

กองทหารช่าง เป็นพวกช่างวิศวะหรือบางทีอาจเป็นช่างกล ที่ทำหน้าที่สร้างและใช้งาน อาวุธปิดล้อม ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อ อาวุธปิดล้อม อย่างไรก็ตาม ยามที่ไม่ได้ใช้งานด้านงานช่าง ก็ทำหน้าที่คล้ายทหารราบ คือถืออาวุธพื้นๆ ทั่วไป (ดาบชนิดต่างๆ) แต่โดยหลักมักจะใช้ค้อน เพราะใช้ได้ในสนามรบและงานช่าง

ถึงจะรบเป็น แต่ก็ไม่มีใครเขาเอาทหารช่างไปบู๊กันหรอกนะ เพราะมีคุณค่ามากกว่าจะเอาไปบู๊กันซึ่งหน้ากับศัตรู (ผิดกับทหารช่างของประเทศเทย ที่ชอบบู๊กันเป็นชีวิตจิตใจ)

จะมีก็แค่ทหารโรมังงะนี่แหละ ที่เป็นทหารช่างในตัว และไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมกลัวตายหรอกนะ

สงครามทางทะเล[แก้ไข]

ในที่สุดก็ได้เวลาเหล่าทเห่อหาญออกทะเลแล้ว

กำลังคิดถึงเรือที่มีปืนใหญ่ 120 กระบอก ใช้ 60 กระบอกด้านข้างยิงใส่กันใช่ไหมหละ อย่าพึ่งคิดไปถึงช่วงนั้นเลย เพราะมันยังไม่ปรากฎ จนกว่าจะถึงยุคจักรวรรดิโน้น (หลังยุคกลางไปอีกราวๆ 100-200ปี)

เพราะยุคกลางเป็นช่วงที่ปืนใหญ่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนล็อตเตอรี่ ไม่มีใครกล้าใช้ยิง

แล้วสมัยนั้นเขาใช้อะไรนะเหรอ

มันก็อาวุธพื้นฐานจากแรงมนุษย์นี่แหละ ถ้าไม่เข้าใจให้พยายามนึกถึง ผาแดง : โจโฉแตกทั้งเรือ ที่พวกเขาเอาเรือไปเทียบกันแล้วเอาทหารไปขยี้ศัตรู

หรือถ้าไม่ชอบเอเชย ก็ไปชมการรบในทะเลของชาวไวกลิ้งอีกครั้งก็แล้วกัน ที่เรือของพวกเขาจะไปเทียบข้างเรือศัตรู แล้วก็ทักทายกันด้วยการเอาขวานไปลับกับหัวศัตรู

หรือถ้าไม่ชอบความป่าเถื่อนของชาวไวกลิ้ง ก็ต้องมาชมความพิศดารตระการตาของอาวุธเรือชาวไบเซนเทยก็แล้วกัน ที่พวกเขาเอาหม้อน้ำมันดินจุดไฟปาหรือใช้เครื่องยิงยิงใส่เรือศัตรูในแบบที่เขาเรียกกันว่า ไฟกรีก (Greek Fire) ซึ่งเจ้าไฟกรีกนี้ มันก็คือนาปาล์มยุคโบราณนี่เอง ซึ่งติดไฟง่ายและดับยาก

จะมีบ้างก็เรือที่ติดอาวุธปิดล้อมอย่างเครื่องยิงหินหรือเครื่องยิงหน้าไม้ยิงใส่เป้าหมาย

แต่อย่ามาดูถูกการรบทางทะเลว่าเปล่าประโยชน์นะ เพราะการค้าทางทะเลให้กำไรมหาศาล อีกทั้งมหาอำนาจทางทะเลในยุคนั้นก็คือชาวไวกลิ้งกับชาวไบเซนเทย นั่นแหละ

แต่มันก็ไม่นานนัก เพราะหลังยุคกลาง ปืนใหญ่ที่ใช้งานไว้ใจได้ แม่นยำ และพลังทำลายสูง ก็เริ่มปรากฎบนเรือแล้ว

ศิลปะและสถาปัตยกรรม[แก้ไข]

จัตุรัสและมหาวิหารลุงปีเตอร์ สถาปัตยเกรียนแบบบาโร้ก

ชาวยูหลบยุคกลางมีรูปแบบศิลปะและสถาปัตยเกรียนเยอะมาก เปลี่ยนไปตามแฟชั่นและความนิยมเป็นช่วงๆ ทั้งนิยมยุ่นปี่ เกาเหลา เจี๊ยวแดง ฯลฯ โดยหากขี้เกียจเรียกช่วงเวลาหลายพันปีนี้รวมๆว่า 'ยุคกลาง' จะแยกย่อยเป็นยุคของศิลปะต่างๆก็ได้ อย่าง

  • ศิลปะไบเซกช่วลไทน์ หรือไบเซ็นเทย (ฺByzantine Art)
  • ศิลปะรักแม้วนะ (Romanesque Art)
  • ศิลปะโกถอก หรือโกธิค (Gothic Art)
  • ศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาเกรียนหรือยุคม็อบครองเมือง... มั้ง (Renaissance Art)
  • ศิลปะบาลักและรักอะโกโก้ตอนต้น (Baroque and Rococo Art)

สื่อ[แก้ไข]

สื่อประชาสัมพันธ์ นับว่าเป็นอุปกรณ์หรืออาวุธที่ทรงพลังมาก โดยใช้เพียงจิตวิทยาง่ายๆ ในการจูงใจคนทุกยุคทุกสมัย ยิ่งถ้าเป็นคำพูดจากผู้นำโดยตรง จะเพื่มความศรัทธาได้ 3 เท่า โดยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ชาวบ้าน การข่มขู่ศัตรู ไม่ว่าจะเป็นการให้กำลังใจแก่อัศวินในสงครามครูเสด การล่าแม่มด การปฏิรูปศสานา การเชื่อว่าพระเจ้าอยู่ข้างเรา เป็นต้น

จนมีคำพูดว่า

Cquote1.png คำพูดของคนเรา สามารถสร้างได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนครวัด หรือสงคราม Cquote2.png
สารกระตุ้น ฉบับไหนไม่รู้

ตัวอย่างของสื่อ[แก้ไข]

เป็นต้น

ย้อนรอยประวัติศาสตร์กับงานวัดยุคกลาง[แก้ไข]

แม้ในปัจจุบัน เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ฝรั่งบางคนก็ยังเห็นว่า ยุคกลางเป็นสิ่งที่น่าหลงไหลชวนฝันถึง จนถึงกับมีการจัดเป็นงานวัดของพวกฝรั่งเลยทีเดียว

ภายในงานก็จะมีกิจกรรมให้ได้ลองได้ชม เช่น การฝึกยิงธนู สวมชุดเสื้อผ้า หรือกระทั่งเสื้อเกราะที่คนสมัยนั้นเขาใส่กัน ทานอาหารเมนูสมัยยุคกลาง ตั้งแต่ไก่อบ จนถึงเหล้าสูตรโบราณ ดูฉากจำลองการรบของเหล่าฝูงนักรบหุ่นกระป๋องทุบกันเอง และจบด้วยการประลองทวนบนหลังม้าอันน่าตื่นเต้น

Cquote1.png ฝรั่งมีงานวัดด้วยเหรอฟะ Cquote2.png
ใครบางคน

อ่านเพิ่มเติม[แก้ไข]

ยุคก่อนหน้า ยุคปัจจุบัน ยุคต่อไป
ยุคโบราณ ยุคกลาง ยุคเรเนซองส์